วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2568

หมิ่นประมาทโดยการร้องเรียนว่า เป็นมาเฟีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4998/2558
ป.อ. ม.328 

                หนังสือร้องเรียนระบุว่า โจทก์มีพฤติการณ์เป็นมาเฟียรถตู้รังสิตคือรถตู้สาย ต.63 นั่นเอง คำว่า มาเฟีย เป็นคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ แต่นำมาใช้แพร่หลายในประเทศไทยทั้งในภาษาพูดและภาษาเขียน ซึ่งมีความหมายในทางไม่ดี เช่น เป็นมิจฉาชีพ ผู้มีอิทธิพลหรืออาชญากร จึงเท่ากับเป็นการร้องเรียนว่าโจทก์เป็นผู้มีอิทธิพลใช้อำนาจข่มขู่ เรียกเงินจากผู้ประกอบกิจการรถตู้สายดังกล่าวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งการร้องเรียนต่อเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งเป็นผู้รักษากฎหมายมีหน้าที่หลักในการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายโดยตรง ย่อมแสดงให้เห็นว่าเป็นการร้องเรียนเพื่อมุ่งประสงค์ที่จะให้ดำเนินการต่อโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบของเจ้าพนักงานตำรวจผู้รับผิดชอบได้ความว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องเก็บค่าคุ้มครอง แต่เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการมอบหมายให้บริษัท พ. จำกัด จัดเก็บค่าบริหารจัดการและหาสถานที่จอดรถแห่งใหม่ โดยไม่มีการบังคับขู่เข็ญหรือใช้อิทธิพลใด ๆ ข่มขู่ผู้ประกอบการ และไม่มีกรณีที่ขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน การที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนโจทก์ตามหนังสือร้องเรียนดังกล่าวจึงเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท จำเลยที่ 4 นำหนังสือพิมพ์ไปแจกโดยทราบว่ามีเนื้อหาข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ถือได้ว่าเป็นการกระจายข่าวไปสู่สาธารณชนหรือประชาชนทั่วไปแล้ว จึงเป็นการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

ดูหมิ่นซึ่งหน้าหรือโดยการโฆษณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13173/2558
ป.อ. ม. 393
                   
การดูหมิ่นผู้อื่น หมายถึง การดูถูกเหยียดหยาม สบประมาทหรือทำให้อับอาย การวินิจฉัยว่าการกล่าวดูหมิ่นผู้อื่นหรือไม่ จึงต้องพิจารณาว่าถ้อยคำที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยามสบประมาทผู้ที่ถูกกล่าวหรือเป็นการทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาอับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว เมื่อพิเคราะห์ถึงถ้อยคำที่จำเลยด่าว่าผู้เสียหายว่า "ก็ผู้หญิงชั่ว" และมองไปที่ผู้เสียหายนั้น ซึ่งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายคำว่า "ชั่ว" ว่า เลว ทราม ร้าย ไม่ดี ซึ่งมีความหมายในทางเสื่อมเสีย การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าวต่อผู้เสียหาย จึงเป็นการพูดด่าผู้เสียหายเป็นการดูถูกเหยียดหยามและสบประมาทผู้เสียหายว่า เป็นผู้หญิงเลว ผู้หญิงทราม ผู้หญิงร้าย ผู้หญิงไม่ดีจึงเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหาย อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 393

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาฎีกาที่ 2624/2567
ป.อ. ม. 91, ม. 328
                 จำเลยโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของจำเลย รวม 9 ครั้ง ต่างวันเวลากัน แต่ละครั้งของการโพสต์ข้อความมีการแสดงความคิดเห็นโต้ตอบและแสดงข้อเท็จจริงกับบุคคลอื่นที่ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นของแต่ละการโพสต์ข้อความ เป็นส่วน ๆ แยกต่างหากจากกันของแต่ละโพสต์ข้อความของจำเลย ในลักษณะที่ยืนยันข้อเท็จจริงที่แตกต่างกันออกไป 
                 จำเลยกระทำโดยเจตนาใส่ความมุ่งประสงค์ที่จะทำลายชื่อเสียงของโจทก์หลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายหลายครั้ง และมีบุคคลอื่นได้มาอ่านข้อความที่จำเลยโพสต์หลาย ๆ คน โดยมีการโพสต์ข้อความโต้ตอบกับจำเลยในแต่ละโพสต์แยกต่างหากจากกัน แสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ต้องการยืนยันข้อเท็จจริงแต่ละอย่างแต่ละครั้งแยกต่างหากจากกัน และประสงค์ต่อผลให้โจทก์เสียชื่อเสียงในแต่ละเรื่องแต่ละครั้งที่จำเลยโพสต์แตกต่างกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน มิใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวและมีเจตนาเดียว

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ข่าวออนไลน์แทนหนังสือพิมพ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2162/2567 
ป.อาญา มาตรา 332(2)
                 ป.อ. มาตรา 332 (2) เป็นบทกฎหมายที่ให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจสั่งให้โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ได้เอง ตามความเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี ไม่ว่าโจทก์จะมีคำขอหรือไม่ และคำว่า "หนังสือพิมพ์" ย่อมปริวรรตไปตามยุคสมัย มิได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะหนังสือพิมพ์ที่พิมพ์ขึ้นโดยใช้กระดาษ แต่ยังมีความหมายรวมถึงข้อมูลข่าวสารเป็นตัวหนังสือที่ประชาชนทั่วไปสามารถอ่านเข้าใจได้ ซึ่งเผยแพร่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ด้วย 
                 คดีนี้จำเลยกระทำผิดด้วยการเผยแพร่ภาพเคลื่อนไหวและข้อความเสียงเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ผ่านทางเว็บไซต์ยูทูบและเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเลยเผยแพร่ได้เป็นจำนวนมาก และอาจมีการเผยแพร่ซ้ำหรือเผยแพร่ต่อไปอีกอย่างกว้างขวาง การเยียวยาความเสียหายแก่โจทก์ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย เพื่อทำให้ชื่อเสียงของโจทก์กลับคืนดี ด้วยการเผยแพร่คำพิพากษาโดยย่อ ผ่านทางเว็บไซต์ข่าวออนไลน์อีกช่องทางหนึ่งด้วย 
                 จึงเห็นสมควรให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาโดยย่อในหนังสือพิมพ์ที่แพร่หลาย 2 ฉบับ เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน กับให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาโดยย่อผ่านทางเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ที่แพร่หลายอีก 2 เว็บไซต์ด้วย โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

วิพากษ์วิจารณ์บุคคลสำคัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 406/2567 
ป.อาญา มาตรา 326 , 328 , 329 
                การที่จำเลยพิมพ์ข้อความ "#ท่าน ม.หัวหน้าพรรค ท. #ขอติดตามความคืบหน้ากรณีแต่งตั้งปลัดกระทรวงที่อยู่ระหว่างการถูกสอบ #ขัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ออกเมื่อ 27 มีนาคม 2561 #ใครรับผิดชอบเรื่องนี้ผ่านมา 2 ปีแล้วจะปล่อยให้ความไม่ถูกต้องอยู่แบบนี้หรือ #ขอขอบคุณภาพและข่าวจากสำนักข่าวไทยอสมท ท่าน สส. ม. เรื่องนี้ท่านต้องติดตามนะครับว่าสรุปแล้วเป็นอย่างไรเท่าที่ทราบมีการตั้งกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงแล้ว กรรมการสรุปแล้วว่ามีความผิดจริง แต่เป็นความผิดเล็กน้อย ขอโทษนะครับ ถ้าเป็นมาตรฐานความผิดที่ ปปช. ลงดาบมาตลอด สำหรับการใช้รถหลวง ใช้เวลาหลวงไปใช้ในกิจการส่วนตัว ปปช. ไม่ไล่ออกก็ให้ออกครับ ไม่ใช่ความผิดเล็กน้อยแบบนี้ คงต้องอาศัยท่าน สส. ม. สส. ขวัญใจประชาชนติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้ด้วยครับ"... ในเว็บไซต์เฟซบุ๊ก 
                เห็นว่า ตำแหน่งปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นตำแหน่งราชการสูงสุดของข้าราชการประจำกระทรวงอุตสาหกรรม จึงนับว่าเป็นบุคคลสำคัญที่อยู่ในสายตาของสาธารณะ การวิพากษ์วิจารณ์ถึงความรู้ความสามารถ ตลอดจนจริยธรรมและคุณธรรม และการติดตามผลการปฏิบัติงานในหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวโดยสุจริต ย่อมเป็นเรื่องปกติที่ประชาชนทั่วไปสามารถกระทำได้ การที่จำเลยติดตามผลการสอบสวนข้อเท็จจริงภายในกระทรวงอุตสาหกรรม หรือมีหนังสือร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดินหรือคณะกรรมการ ปปช. เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการของปลัดกระทรวง พิมพ์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งโจทก์ให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวในเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของการแจ้งให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายใช้ดุลพินิจตรวจสอบบุคคลสาธารณะ เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยนำเสนอข้อมูลในเว็บไซต์เฟซบุ๊กโดยไม่สุจริตอย่างไร ต้องการสร้างความเสียหายหรือประสงค์ให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เพราะเหตุใด ตามหน้าที่ภาระการพิสูจน์ของโจทก์ตามกฎหมายในคดีอาญา 
                การกระทำของจำเลยจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ตาม ป.อ. มาตรา 329 (3) ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท