คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3073/2566
ป.อาญา มาตรา 326 ป.วิ.อาญา มาตรา 185
ความผิดฐานหมิ่นประมาท ตาม ป.อ. มาตรา 326 จะต้องเป็นการใส่ความ คือ การพูดหาเหตุร้าย หรือกล่าวหาเรื่องร้ายให้ผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวว่า "ไอ้สันดานหมา" คำว่า "สันดาน" หมายความถึง อุปนิสัยที่มีมาแต่กำเนิด ซึ่งอาจมีสันดานดีหรือสันดานเลวก็ได้ แม้มักใช้ไปในทางไม่สู้จะดี แต่ก็มิใช่เป็นการใส่ความให้ร้ายผู้ร้อง ทั้งตามความรู้สึกนึกคิดของบุคคลธรรมดา ไม่เชื่อว่าผู้ร้องจะเป็นเช่นนั้น เพราะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่น่าจะทำให้ผู้ร้องเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่จำเลยกล่าวถ้อยคำนั้น น่าจะเป็นเพราะจำเลยไม่พอใจผู้ร้องที่ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่ ส. ซึ่งเป็นหลานของจำเลยมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้นพนักงานสอบสวนเรียกคู่กรณีและผู้เกี่ยวข้องซึ่งเป็นญาติไปไกล่เกลี่ย ผู้ร้องก็ยังคงยืนกรานให้ดำเนินคดี ส. ต่อไป โดยไม่เห็นแก่ความเป็นญาติ ย่อมทำให้จำเลยไม่พอใจผู้ร้องเพิ่มขึ้นไปอีก จึงเป็นการด่าผู้ร้องอันเนื่องมาจากความรู้สึกไม่พอใจผู้ร้อง ไม่ได้มีความมุ่งหมายถึงความประพฤติของผู้ร้องว่าเป็นคนมีอุปนิสัยที่ไม่ดีมาแต่กำเนิด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ก็เป็นการรับสารภาพตามฟ้องที่ไม่เป็นความผิด ย่อมลงโทษจำเลยไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5997/2564
ป.อาญา มาตรา 531(2)
โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องว่า จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงและบอกปัดไม่ให้ความช่วยเหลือโจทก์ ในขณะที่จำเลยสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือได้ โดยจำเลยกล่าวว่า "แล้วแต่พวกมึงจะไปอยู่ที่ไหนอีแก่ มึงเป็นคนไม่ยุติธรรม" และอีกข้อความหนึ่งว่า "แล้วแต่พวกมึงจะพากันไปตายที่ไหน กูไม่สนใจ มึงตายกูก็จะไม่ไปเผามึง" แต่ตามทางนำสืบของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยด่าโจทก์ว่า อีแก่ หรือมึงตายกูก็ไม่ไปเผามึง
แม้ ส. จะเบิกความว่า จำเลยด่าโจทก์ว่าไม่มีความยุติธรรมซึ่งตรงตามที่โจทก์ระบุในคำฟ้อง แต่ก็เป็นเพียงการกล่าวด้วยความน้อยใจว่าโจทก์รักบุตรแต่ละคนไม่เท่ากัน หาใช่เจตนาทำให้โจทก์ต้องเสียชื่อเสียงหรือเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12460/2547
ป.อ. มาตรา 329
เวลาเช้าตรู่ของวันเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจท้องที่หลายคนแต่งกายนอกเครื่องแบบไปขอค้นบ้านจำเลยเพื่อพบและจับน้องชายของจำเลยในคดีเช็ค ส่วนโจทก์ไม่ใช่เจ้าพนักงานตำรวจท้องที่แต่ได้แต่งเครื่องแบบเจ้าพนักงานตำรวจไปที่บ้านของจำเลยด้วย ในฐานะที่เป็นบิดาของผู้เสียหายในคดีเช็ค ที่น้องชายของจำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าสินค้าให้ แล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค
เมื่อคำนึงถึงเหตุการณ์และพฤติการณ์เกี่ยวกับการทวงหนี้ของโจทก์ที่แต่งเครื่องแบบไปขอค้นบ้านของจำเลยซึ่งเป็นผู้หญิงและมีบุตรผู้เยาว์ 2 คน จนจำเลยเกิดความเกรงกลัวต่อโจทก์ จนต้องยอมใช้หนี้แทนน้องชายให้แก่โจทก์ จำเลยมีสิทธิที่จะเข้าใจได้โดยสุจริตว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการประพฤติตนของโจทก์ และมีสิทธิที่จะร้องเรียนโดยสุจริตได้ว่า โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประพฤติตนไม่เหมาะสม
ดังนั้น การที่จำเลยส่งโทรสารไปลงหนังสือพิมพ์โดยมีใจความเป็นการแสดงความเสียใจ น้อยใจของจำเลยและเกรงกลัวจากการกระทำของโจทก์จนต้องชำระหนี้แทนน้องชายให้แก่โจทก์ไป เป็นทำนองขอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสอดส่องตักเตือนเจ้าพนักงานตำรวจให้เป็นมิตรกับประชาชน จึงเป็นการติชมโจทก์ด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนเยี่ยงจำเลยที่ต้องประสบเหตุการณ์เช่นนั้นพึงกระทำได้ และการที่จำเลยระบุชื่อนามสกุลจริงของโจทก์และจำเลย ตลอดจนที่อยู่ของจำเลยไว้แจ้งชัดในโทรสารด้วยย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยเขียนข้อความในโทรสารนั้นด้วยเจตนาสุจริตตามเรื่องที่เกิดขึ้นแก่จำเลย กรณีต้องด้วย ป.อ. มาตรา 329 จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์
ป.อ. มาตรา 329
เวลาเช้าตรู่ของวันเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจท้องที่หลายคนแต่งกายนอกเครื่องแบบไปขอค้นบ้านจำเลยเพื่อพบและจับน้องชายของจำเลยในคดีเช็ค ส่วนโจทก์ไม่ใช่เจ้าพนักงานตำรวจท้องที่แต่ได้แต่งเครื่องแบบเจ้าพนักงานตำรวจไปที่บ้านของจำเลยด้วย ในฐานะที่เป็นบิดาของผู้เสียหายในคดีเช็ค ที่น้องชายของจำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าสินค้าให้ แล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค
เมื่อคำนึงถึงเหตุการณ์และพฤติการณ์เกี่ยวกับการทวงหนี้ของโจทก์ที่แต่งเครื่องแบบไปขอค้นบ้านของจำเลยซึ่งเป็นผู้หญิงและมีบุตรผู้เยาว์ 2 คน จนจำเลยเกิดความเกรงกลัวต่อโจทก์ จนต้องยอมใช้หนี้แทนน้องชายให้แก่โจทก์ จำเลยมีสิทธิที่จะเข้าใจได้โดยสุจริตว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการประพฤติตนของโจทก์ และมีสิทธิที่จะร้องเรียนโดยสุจริตได้ว่า โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประพฤติตนไม่เหมาะสม
ดังนั้น การที่จำเลยส่งโทรสารไปลงหนังสือพิมพ์โดยมีใจความเป็นการแสดงความเสียใจ น้อยใจของจำเลยและเกรงกลัวจากการกระทำของโจทก์จนต้องชำระหนี้แทนน้องชายให้แก่โจทก์ไป เป็นทำนองขอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสอดส่องตักเตือนเจ้าพนักงานตำรวจให้เป็นมิตรกับประชาชน จึงเป็นการติชมโจทก์ด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนเยี่ยงจำเลยที่ต้องประสบเหตุการณ์เช่นนั้นพึงกระทำได้ และการที่จำเลยระบุชื่อนามสกุลจริงของโจทก์และจำเลย ตลอดจนที่อยู่ของจำเลยไว้แจ้งชัดในโทรสารด้วยย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยเขียนข้อความในโทรสารนั้นด้วยเจตนาสุจริตตามเรื่องที่เกิดขึ้นแก่จำเลย กรณีต้องด้วย ป.อ. มาตรา 329 จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 353 - 354/2529
ป.อ. มาตรา 137, 326, 329
โจทก์รับราชการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างชั่วคราวในตำแหน่งผู้ช่วยพยาบาล จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 รับราชการเป็นนายแพทย์ประจำโรงพยาบาล โดยมีโจทก์เป็นผู้บังคับบัญชา จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ได้ทำหนังสือร้องเรียนโจทก์ต่อผู้อำนวยการกองโรงพยาบาลภูมิภาค พร้อมส่งเทปบันทึกเสียงซึ่งจำเลยที่ 1 พูดยืนยันตามหนังสือร้องเรียนว่า โจทก์รับสินบนในการรับตนเข้าทำงาน บกพร่องเกี่ยวกับศีลธรรมอันดีในกรณีชู้สาว ประกอบกับโจทก์ก็ยอมรับว่า ได้ตรวจภายใน นาง ม. ทั้งสองครั้งจริง แต่อ้างว่าตรวจเพื่อหาเชื้อกามโรค และเพื่อดูพรหมจารีย์ ซึ่งทางการแพทย์ไม่ได้รับรอง พฤติการณ์เจือสมกัน เชื่อได้ว่านาง ม. เบิกความตามความเป็นจริง เพราะแม้นาง ก. พยานโจทก์ ก็ยอมรับว่า เคยทราบข่าวเรื่องโจทก์มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นในทางชู้สาวเหมือนกัน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มีความประพฤติในเรื่องดังกล่าวเป็นไปทำนองหนังสือร้องเรียนของจำเลย
ส่วนเงินบริจาคของนาง ป. เพื่อซ่อมแซมหลังคาซุ้มพระนั้น เห็นว่า แม้จะไม่มีการทุจริตในเงินดังกล่าว แต่โจทก์มิได้นำเข้าบัญชีเงินบำรุงโรงพยาบาล กลับไปฝากที่ธนาคารในชื่อของโจทก์ ซึ่งผิดระเบียบของทางราชการ และเพิ่งซื้อเครื่องดูดเสมหะในภายหลัง กับคืนเงินของนาง ป. ภายหลังที่ถูกจำเลยมีหนังสือร้องเรียนแล้ว และโจทก์เป็นที่ปรึกษาของโรงพยาบาล ศ. ต้องไปโรงพยาบาลดังกล่าวบ่อย ๆ ประกอบกับจำเลยมีภาพถ่ายหมาย จ.9 จ.12 แสดงว่าเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ศ. ไปทำงานที่โรงพยาบาล อ. ซึ่งล้วนแต่เป็นเหตุผลแสดงว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบตามหนังสือร้องเรียนของจำเลยทั้งสิ้น พยานโจทก์เบิกความลอย ๆ ขัดต่อเหตุผลมีน้ำหนักสู้พยานจำเลยไม่ได้ พฤติการณ์จึงเจือสมการร้องเรียนของจำเลย และกระทรวงสาธารณสุขตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ทางวินัย จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 แจ้งต่อคณะกรรมการทำนองเดียวกับหนังสือร้องเรียน ต่อมา หนังสือพิมพ์ลงข่าวเกี่ยวกับโจทก์
เมื่อพฤติการณ์ที่จำเลยร้องเรียนจากฐานความจริง หรือเหตุการณ์ที่โจทก์ปฏิบัติอยู่ทำให้จำเลยเข้าใจเช่นนั้น โดยจำเลยเข้าใจว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบอาจทำให้ราชการเสียหาย และเป็นผู้บกพร่องเกี่ยวกับศีลธรรมอันดีในกรณีชู้สาวซึ่งผิดวินัยข้าราชการ แล้วกระทำการดังกล่าวลงไป จึงถือได้ว่า จำเลยทั้งเจ็ดได้กระทำการโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ จึงได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 (1) (3) ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทและไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จด้วย ลำพังเพียงจำเลยไม่นำเรื่องให้ที่ประชุมโรงพยาบาลพิจารณาแต่นำไปร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาเลยก็หาใช่เหตุผลแสดงว่า จำเลยนำความเท็จมาร้องเรียนโดยมีเจตนาหมิ่นประมาทดังโจทก์ฎีกาไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น